วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

ขนมตูเล

ตูเลอัลมอนด์

ตูเลเป็นขนมเบื้องของประเทศฝรั่งเศส กรอบ บาง หอม อร่อย 
และเป็นขนมที่มีส่วนผสมน้อยมาก


ขั้นตอนที่ 1 เตรียมวัตถุดิบ
1. เนย 100 กรัม (ใช้เนยของแท้จะได้กลิ่นที่หอมกว่าและสีสวยกว่า)
2. ไข่ขาว 150 กรัม (ประมาณ 3-4 ฟอง)
3. น้ำตาลไอซิ่ง 100 กรัม (ขึ้นอยู่กับความต้องการหวาน)
4. แป้งสาลี 90 กรัม (ร่อนแป้งเรียบร้อย)
5. เกลือ 1/4 ช้อนชา (ใส่รวมกับน้ำตาล)
6. อัลมอนด์สไลซ์ (อย่าใส่มากเกินไปจะทำให้ขนมไม่สวย)
สูตรนี้เป็นสูตรต้นตำหรับจากฝรั่งเศสนะคะ

ขั้นตอนที่ 2 วิธีทำ
1. นำเนยไปตั้งไฟอ่อนๆ ให้เนยละลายให้หมด ไม่ต้องคน ให้เขย่าหม้อเอา หรือใครจะเอาเข้าไมโครเวฟก็ได้คะ แล้วปล่อยไว้ให้เนยอุ่นๆ


2. นำไข่มาปั่นรวมกับน้ำตาลไอซิ่งที่ใส่เกลือแล้ว ตีด้วยความเร็วต่ำไล่ไปสูงจนเริ่มตั้งยอดอ่อน




3. เปลี่ยนเป็นความเร็วต่ำ ใส่แป้งแล้วเพิ่มความเร็วจนตีให้ส่วนผสมเข้ากัน สลับกับปาดอ่างให้แป้งตกลงไปด้วยนะครับ เพื่อให้เข้ากันหมด ตีจนเข้ากันแล้วลดความเร็วต่ำเพื่อเทเนย
4. เทเนยที่ยังอุ่นๆ อย่าร้อนเกินไป และเย็นเกินไป ตีด้วยความเร็วปานกลางไปเรื่อย ๆ และปาดอ่างไปด้วยเพราะเนยบางส่วนเกาะขอบอ่างคะ ตีจนเข้ากัน สังเกตุง่ายว่าเป็นสีเดียวกันหมด แล้วปรับความเร็วต่ำสุดเพื่อไล่ฟองอากาศทิ้งไว้ประมาณ 1-2 นาที

ขั้นตอนที่ 3 การละเลงลงถาด
1. เตรียมถาดที่ปูด้วย Baking Sheet เช็ดให้แผ่นเลียบติดถาด เพื่อขนมจะได้เรียบเนียน ไม่บวม และสุกเท่ากันทั้งถาดนะคะ
2. ตักส่วนผสมมา แนะนำให้ใช้ช้อนกาแฟเล็ก ๆ พอแล้ว ต้องกะเอาก่อนว่าใช้แค่ไหน ประมาณ 1 ช้อนชา ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นกับขนาดที่ต้องการด้วย และต้องหยอดให้เท่าๆ กันทั้งถาด เพื่อขนมจะได้สุกเท่ากันทั้งถาดนะคะ
3. ใช้ก้นช้อนละเลงวนให้กลมและบาง และทำให้ครบทั้งหมดนะคะ


4. นำไปหยอดอัลมอลด์สไลซ์ อย่าใส่อัลมอลด์มากเกินไป เพราะจะทำให้ขนมไม่หน้าทาน


5. นำไปเข้าเตาอบ ที่อุณหภูมิ 180 องค์ศา สังเกตุดูว่าขนมจะสีน้ำตาลอ่อนๆ อย่าเข้มเกินไปเพราะจะไม่หอมเนย และอย่าอ่อนเกินไปเพราะจะได้กลิ่นแป้ง ***ขั้นตอนนี้สำคัญมาก อย่าทำให้ขนมแข็งหรือปวม เพราะจะทำให้ขนมแข็งกรอบกลายเป็นคุกกี้ ไม่ค่อยหอม และที่สำคัญไม่ละลายในปาก สูตรต้นตำหรับต้อง หวาน หอม กรอบ ละลายในปาก เพียง 10 วินาที


ขั้นตอนที่ 4 การดูว่าสุกและการแคะออกจากถาด
1. เมื่อสุกแล้ว ขนมยังนิ่มต้องให้ความเร็วแคะออกจากถาด ตอนนี้สามารถใช้พายขูดแรงๆ ได้เพราะขนมยังร้อยและยังไม่แตก


 เสริฟพร้อมชา หรือกาแฟ จะอร่อยมากนะคะ :)






วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557

"Mille Feuille"

ขนมมิลเฟ่ย

ก่อนจะทำมีลเฟ่ยต้องเตรียมอบแป้งพายก่อนนะคะ 
วิธีเตรียมแป้งพายสำหรับทำมีลเฟ่ย 

1. ใช้แป้งพายชั้น Puff Pastry แบบแช่แข็ง เอาออกมาวางทิ้งให้อ่อนตัว ปริมาณแป้งพายที่จะใช้ก็แล้วแต่ว่าจะทำขนาดแผ่นใหญ่แค่ไหน จะวางซ้อนกี่ชั้น 
สูตรนี้ใช้ขนาด 10 X 20 ซม. ทั้งหมด 3 แผ่น 


จะอบแผ่นใหญ่แล้วค่อยตัดก็ได้ค่ะ แต่คิดว่า ตัดขนาดตามที่ต้องการ(เผื่อหดตัวนิดหน่อย)แล้วอบสะดวกกว่าค่ะ 

2. ปูกระดาษไขบนถาดอบ แล้วใช้แปรงทาน้ำให้ทั่ว พอหมาดๆ เผื่อให้แผ่นแป้งหดตัวน้อยหลังอบ 
ต้องใช้กระดาษไขอย่างดี หนาหน่อยค่ะ ถ้าเป็นแบบบางๆโดนน้ำจะขาดซะก่อน 


3.เอาแป้งพายวางบนกระดาษไข แล้วใช้ส้อมจิ้มให้เป็นรูทั่วๆแผ่น

4. ใช้ตะแกรงสำหรับพักขนมให้หายร้อน วางทับบนแผ่นแป้งเพื่อกดไม่ให้แป้งพองตัวมากไป (บางตำราจะปูกระดาษไขบนแป้งพายแล้วใช้ถาด 2 ใบซ้อน วางทับลงไป) 
อบไฟ 200 c ประมาณ 20 นาที พอเป็นสีเหลืองทองเอาออกจากเตาอบ


5.โรยน้ำตาลไอซิ่งบนแผ่นแป้งให้มากหน่อย แล้วเอาเข้าไปเตาอบอีกครั้งใช้แต่ไฟบนหรือไฟย่าง(grill) ใช้เวลาสั้นๆพอน้ำตาลไอซิ่งละลาย กลายเป็นคาราเมลเคลือบแผ่นแป้ง 
เอาออกมาวางพักบนตะแกรงให้หายร้อน


6. พอเย็นแล้ว ใช้มีดฟันเลื่อยตัด แต่งขอบ ให้มีขนาดเท่าๆกัน 
ถ้าอบแล้วยังไม่ทำต่อ ให้เก็บแผ่นแป้งไว้ในกล่องปิดฝาให้สนิท 

วิดิโอสำหรับการทำมิลเฟ่ยนะคะ


พอทำเสร็จเราก็จะได้ขนมมิวเฟ่ยแสนอร่อยมารับประทานเป็นของว่าหรือของทานเล่นกันนะคะ








''โกลด สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส''


โคลดแห่งบริตานี สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส (14 ตุลาคม ค.ศ. 1499 - 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1524) โคลดแห่งบริตานีเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศสในพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1 แห่งฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 1514 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1524
โคลดแห่งบริตานีประสูติเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1499 เป็นพระธิดาองค์โตในพระเจ้าหลุยส์ที่ 12 แห่งฝรั่งเศส และพระราชินีแอนน์ โคลดทรงมีบรรดาศักดิ์เป็นดัชเชสแห่งบริตานีต่อจากพระราชมารดา และเป็นพระราชมารดาของพระเจ้าอองรีที่ 2 แห่งฝรั่งเศส ฉะนั้นจึงเป็นพระอัยกีของพระเจ้าแผ่นดินสามพระองค์สุดท้ายของราชวงศ์วาลัวส์


การหมั้นหมายและการเสกสมรส

เนื่องจากพระมารดาของโคลดพระราชินีแอนน์ ดัชเชสแห่งบริตานีทรงเป็นประมุขของดัชชีแห่งบริตานี เมื่อเสด็จสิ้นพระชนม์โคลดจึงทรงเป็นทายาทของดัชชีต่อจากพระราชมารดา แม้ว่าพระราชินีแอนน์จะระบุในพินัยกรรมว่าทรงมอบบริตานีให้เรเนพระราชธิดาองค์รอง ส่วนทางด้านฝรั่งเศสราชบัลลังก์ฝรั่งเศสสืบต่อได้ตามกฎบัตรซาลลิคโดยผู้สืบเชื้อสายที่เป็นชายเท่านั้น ในปี ค.ศ. 1504 พระราชินีแอนน์ในการที่ทรงพยายามที่จะหาทางกันไม่ให้บริตานีถูกผนวกโดยฝรั่งเศสก็ลงพระนามในสนธิสัญญาบลัวส์ (Treaty of Blois) ที่ระบุการหมั้นหมายระหว่างเจ้าหญิงโคลดพระราชธิดากับชาร์ลส์แห่งลักเซ็มเบิร์ก พร้อมกับดัชชีแห่งบริตานี แต่การพยายามลดอำนาจของฝรั่งเศสที่ล้อมรอบบริตานีอยู่สามด้านก็ไม่เป็นที่ยอมรับโดยราชวงศ์วาลัวส์และในที่สุดการหมั้นหมายก็ถูกยุบเลิก
ขุนนางฝรั่งเศสเองก็คัดค้านการหมั้นหมายของโคลดกับชาวต่างประเทศและยุให้พระเจ้าหลุยส์จัดการเสกสมรสระหว่างโคลดกับฟรองซัวส์ ดยุกแห่งอองกูแลมผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของพระองค์ “ผู้ที่อย่างน้อยก็ทรงเป็นฝรั่งเศสเต็มตัว” และทรงเป็นรัชทายาทโดยพฤตินัยของราชบัลลังก์ฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1506 โคลดจึงถูกหมั้นกับฟรองซัวส์ และในปี ค.ศ. 1514 เมื่อพระราชินีแอนน์พระราชมารดาสิ้นพระชนม์ โคลดก็กลายเป็นดัชเชสแห่งบริตานี และเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1514 พระองค์ก็ทรงเสกสมรสกับฟรองซัวส์ที่พระราชวังแซงต์-แชร์แมง-ออง-เลย์



วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

Foie gras.

foie gras (pronúncia [fwɑ gʁɑ], ou "fuá-grá") – termo que em francês significa "fígado gordo" – é o fígado de um pato ou ganso que foi super-alimentado. Junto com as trufas, o foie gras é considerado uma das maiores iguarias da culinária francesa. Possui consistência amanteigada e sabor mais suave em relação ao fígado normal de pato ou ganso.



História

Antiguidade

Até o início do Século XXV a.C. é possível que os antigos egípcios procurassem os fígados engordados das aves migratórias como uma iguaria. Eles rapidamente aprenderam que muitos pássaros poderiam ser engordados através da superalimentação e começaram a prática em gansos. Na necrópole de Saqqara, a tumba de Mereruka, um importante oficial real, contém umbaixo relevo de uma cena onde escravos apertavam o pescoço de gansos para empurrar-lhes pelotas de comida goela abaixo. Ao lado dos escravos havia pilhas com mais pelotas, provavelmente feitas de grãos, e um frasco com água para umedecê-las antes de dar aos gansos.

A prática de engorda de gansos se espalhou do Egito para a região mediterrânea. As referências mais antigas a gansos engordados datam do Século V a.C. do poeta grego Cratino, que escreveu sobre os "engordadores de ganso". Mas o Egito ainda manteve sua reputação como fonte de gansos engordados. Quando Agesilaus, rei de Esparta, visitou o Egito em 361 a.C., ele foi presentado com fígado de ganso pelos ricos fazendeiros egípcios.
Entretanto, até o período romano o foie gras não havia sido mencionado como uma comida distinta, até que os romanos lhe deram o nome iecur ficatum, que em Latim significa literalmente "fígado de figueira". Plínio, o Velho, credita ao gastrônomo romano Apício (a quem um livro de culinária da planta é atribuído) a alimentação de gansos com figos para aumentar seus fígados. Daí o termo iecur ficatum, "fígado estufado de figo".  termo ficatum ficou tão associado com o fígado do animal que se tornou a raiz das palavras fígado em portuguêsfoie em francêshigado emespanholficat em romeno e fegato em italiano, todas denominando aquela parte do animal.
A ideia de alimentar gansos com figos pode ter sido trazida de Alexandria, já que a alta cozinha romana se inspirou nos gregos.
Europa pós-clássica

Após a queda do Império Romano, os gansos foram temporariamente banidos da cozinha europeia. Diz-se que os fazendeiros gálicos preservaram a tradição de fazer foie gras por séculos até que ela foi redescoberta, entretanto, esta teoria não tem evidências plausíveis, uma vez que é sabido que as fontes de carne da França medieval foram principalmente o porco e a ovelha.
É mais provável que o foie gras tenha sido preservado pelos judeus, que teriam aprendido o método após a colonização de Israel pelos romanos. Os judeus teriam levado a tradição à medida que migraram para o norte e o oeste. O Kashrut, que contém as leis da dieta judaica, os proibia de usar óleo feito à base de gordura de porco para cozinhar, e a manteiga não era uma alternativa, já que também era proibido misturar laticínios e carnes. Os judeus utilizavam azeite na região mediterrânea e óleo de sésamo na Babilônia, mas nenhum era fácil de se encontrar nas regiões oeste e central da Europa, então passaram a usar gordura de aves domésticas, que podiam produzir em quantidade através de gansos super-alimentados.
A suavidade do sabor desse fígado foi rapidamente apreciado, fato atestado por Hans Wilhelm Kirchhof de Kassel que escreveu em 1562 que os judeus extraíam gordura dos gansos e particularmente apreciavam o fígado. Rabinos se preocuparam com as complicações éticas de super-alimentar gansos e comer seu órgão inchado, e a questão permaneceu uma das mais debatidas da lei da dieta judaica até o gosto pelo fígado de ganso decair no Século XIX.

Gastrônomos não-judeus começaram a apreciar o fígado de gansos engordados, que eram comprados em guetos de judeus. Em 1570, Bartolomeu Scappi, cozinheiro do Papa Pio V, publicou seu livro de receitas Opera, onde ele conta que "o fígado dos gansos domésticos é inchado pelos judeus a tamanhos e pesos extremos, chegando a mais de 1 kg". Em 1581, Max Rumpolt deMogúncia, cozinheiro de muitos nobres alemães, publicou o volumoso livro de receitas Kochbuch, contando que os judeus da Boêmia produziam fígados pesando 1,5 kg. Rumpolt mostrou várias receitas usando esses fígados, uma delas um mousse.

วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

''Les Choristes''

                

The Chorus หรือ Les Choristes เป็นหนังฝรั่งเศสในปี ๒๐๐๔  เป็นผลงานของผู้กำกับที่ทำหนังโฆษณามาก่อน ชื่อ Christophe Barratier  หนังจึงถ่ายทำสวย  ภาพหนังสีสวยมากค่ะ เรียกว่าใครชอบบรรยากาศแบบชนบทฝรั่งเศส ใบไม้ใบหญ้าเขียวขจีแล้วละก็ ควรหามาดูค่ะ
        
 หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องหนึ่งที่น่าดูมากเลยค่ะ เป็นการถ่ายทอดความรักจากครูสู่ลูกศิษย์อันเป็นที่รักโดยหวังว่าเด็กนักเรียนทุกคนจะมีอนาคตที่ดี โดยดึงความสามารถและพรสวรรค์ของเด็กๆออกมาให้ผู้คนได้ยอมรับว่าพวกเขามีความสามารถและอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้


  เรื่่องย่อ      
                   ภาพยนตร์การผสมผสานระหว่างบทเพลงประสานเสียงกับการแสดงที่ลงตัวจากประเทศฝรั่งเศส  เป็นหนังได้รับ2 รางวัลจาก Academy Award Nominations Best Foreign Language Film  สำหรับเรื่องราวนั้น จะเป็นเรื่องราวของโรงเรียนดัดสันดานแห่งหนึ่ง ชื่อว่า Fond de l’ Etang  ( ฟง เดอ เลแต็ง ) และโรงเรียนแห่งนี้ จะมี ผอ. จอมโหด  ราแชง ซึ่งเป็นคนเจ้าระเบียบ   ใช้ระบบการบริหารแบบ ออกกฎ แล้วลงโทษ  ผู้ฝ่าฝืน   และเด็กแสบ อีก 2 คน คือ  ปิแอร์ มอร์ฮอง  กับ  มงแด็ง โดยเด็กทั้งสองคนนี้ มีพื้นฐานของที่บ้านต่างกัน  ปิแอร์ มอร์ฮอง  มีแม่ที่เป็นที่รัก แต่ต้องทำงานหนัก ไม่มีเวลาดูแล เลยมาฝากลูกไว้ที่นี่ ส่วน มงแด็ง เป็นเด็กเหลือขอ  มีพฤติกรรม วายร้าย ประวัติโชกโชน จนโรงเรียน ดัดสันดานที่อื่นเอาไม่อยู่ จึงต้องส่งตัวมาให้ ผอ. จอมโหด ราแชง จัดการ และ ตัวเอกของเรื่อง คือ เคลมองต์ แม็ทธิวว์  นักดนตรีเล็กๆ ครูตกงาน มาสมัครเป็นครูสอนที่โรงเรียนแห่งนี้
 

 วันแรกที่ เคลมองต์ แม็ทธิวว์  เข้ามาในโรงเรียน แห่งนี้  ก็ได้พบกับวีรกรรมของเด็กเหล่านี้ตั้งแต่วันแรก ซึ่งทำให้ราแชง โกรธและเรียกเด็กเหล่านั้นมาสอบสวน  เพื่อหาผู้ผิด   ราแชงมักจะค้นหา และ ลงโทษ ผู้กระทำผิด เสมอ แต่เขาก็มักจะพบว่า เด็กเหล่านี้ ดื้อรั้น ไม่เชื่อฟัง เหมือนเดิม ไม่ได้ลดลงเลย แล้วเขาก็ทำการเพิ่มบทลงโทษ โดยหวังว่า เด็กเหล่านี้จะกลัว แล้วประพฤติตัวอยู่ในกฏระเบียบ แต่สิ่งที่ราแชงนั้นฝันไว้ ก็ยังคงเป็นแค่เพียงความฝัน  เด็กเหล่านั้น แค่รอจังหวะ ที่จะทำเรื่องราว ที่ทำให้ ราแชง ปวดหัวเล่น โดยที่สาวไม่ถึงตัวพวกเขาเท่านั้น


                 และเมื่อ เคลมองต์ แม็ทธิวว์  เข้ามาสอนที่โรงเรียนนี้ เข้าได้สอนพวกเด็กๆ ร้องเพลง  โดยเริ่มต้นจาก การ ทดสอบเสียง ของเด็กทีละคน ทุกคนต่างกัน  ย่อมต้องมีหน้าที่ของตัวโน๊ตที่ต่างกัน  เมื่อแยกแยะโทนเสียงที่เหมาะสมของแต่ละคนได้แล้ว เขาก็พบเพชรน้ำงาม  คือ ปิแอร์ มอร์ฮอง ซึ่งเขามองว่าเด็กคนนี้มีพรสวรรค์ ที่จะไปได้ไกล แต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจ  เคลมองต์ แม็ทธิวว์  ก็ไม่ละความพยายาม มีการพูด ชี้นำ  สอนตัวต่อตัว แกมบังคับ  จน ปิแอร์ มอร์ฮอง เริ่มร้องเพลง และวงดนตรีประสานเสียงวงนี้ก็กำเนิดขึ้น เพราะหากขาดเสียงโซปราโน่ ของ ปิแอร์ มอร์ฮอง แล้ววงดนตรีวงนี้ก็ไม่มีชีวิต

                 แม้จะเบียดเบียนเวลาส่วนตัวของพวกเขา  แต่ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่รัก พวกเขาก็ไม่มองว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เป็นการเบียดเบียนเวลา แต่กลับมองต่างออกไปว่า นั่นคือ ช่วงเวลาที่พวกเขาได้เสพความสุขต่างหาก และเมื่อ ปิแอร์ มอร์ฮอง ได้ร้องเพลง ก็เริ่มรู้สึกรัก  รู้สึกภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของวง จนถึงกับซ้อมร้องเพลง คนเดียวหลังเลิกเรียน   และในขณะที่เด็กๆกับกำลังจดจ่อกับการร้องเพลงนั้น  ราแชงก็ห้ามไม่ให้พวกเขาเรียนร้องเพลงอีก  แม้ เคลมองต์ แม็ทธิวว์  จะชี้แจงว่า ดนตรี ทำให้พวกเขามีวินัยมากขึ้น และ ก้าวร้าวลดลง แต่ ราแชงก็ไม่ยอม ดังนั้นพวกเขาจึงต้องแอบฝึกร้องเพลงกันที่ห้องพัก ตอนกลางคืน

                การลงโทษ ที่รุนแรง ที่สุด คือ การไม่ให้พวกเขาทำในสิ่งที่รัก และทำเป็นไม่เห็นว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของทีม   ครั้งหนึ่ง ปิแอร์ มอร์ฮอง ทำพฤติกรรมก้าวร้าว  เคลมองต์ แม็ทธิวว์  จึงไม่ให้ร่วมวงร้อง ทำเป็นเหมือนกับว่าวงนี้ไม่จำเป็นต้องมี ปิแอร์ มอร์ฮอง ก็ได้ ซึ่งช่วงนั้น ปิแอร์ จะเงียบเหงา หงอยไปถนัดตา

                ส่วน มงแด็งนั้น ก้าวร้าวกว่า ปิแอร์  เคลมองต์ แม็ทธิวว์  ก็พยายามจะใช้วิธีเดียวกัน บำบัด มงแด็ง ครั้งหนึ่งเกิดเหตุการณ์เงินหาย แต่ราแชง ไม่มีหลักฐาน แต่ปักใจเชื่อและกล่าวโทษ มงแด็ง  และลงโทษ ขั้นรุนแรง เฆี่ยนตี และขังห้องมืด  ซึ่งทำให้ มงแด็ง ขาดความเชื่อในตัวคน จึงหนีออกจาก  Fond de l’ Etang  ( ฟง เดอ เลแต็ง )  และเมื่อวันที่เขากลับมา เขาได้มาพร้อมไฟ และเผาโรงเรียนนี้จนวอดวาย แต่ยังโชคดีที่วันนั้น ครูแมททริวแอบพานักเรียนออกไปทัศนศึกษา จึงปลอดภัยทุกคน แต่เหตุการณ์นี้ทำให้ครูแมททริวถูกไล่ออก